การต่อทะเบียนรถ และการต่อภาษีรถยนต์ นับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้มีรถยนต์ไว้ในครอบครอง ให้เป็นไปตามกฎหมายและความถูกต้องตามกฎหมายจราจร รถทุกคันจำเป็นที่ต้องมีการต่อทะเบียนอย่างถูกต้อง
โดยขั้นตอนการต่อทะเบียนรถและการต่อภาษีรถมีเอกสารที่ต้องใช้ดังนี้
- ข้อมูลทะเบียนรถ
- ข้อมูลประกันภัยภาคบังคับ หรือ พ.ร.บ. ที่มีวันสิ้นอายุความคุ้มครองไม่น้อยกว่า 90 วัน
ซึ่งก่อนที่คุณจะต่อทะเบียนได้นั่น คุณจะต้องตรวจเช็คสภาพรถเพื่อรับรองว่ารถของคุณนั้นสามารถใช้งานบนท้องถนนได้ตามความถูกต้องตามกฎจราจรนั่นเอง
ซึ่งค่าใช้จ่ายสำหรับการตรวจสภาพรถจะอยู่ที่ คันละ 200-300 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดของรถ โดยจะสามารถเก็บผลตรวจสภาพรถได้ 3 เดือน หลังจากตรวจ
หลายคนยังสนใจบทความน่ารู้เพิ่มเติม
การต่อทะเบียนรถและการต่อภาษีรถยนต์ผ่านระบบออนไลน์ ทำอย่างไร?
ในปัจจุบัน เนื่องจากระบบการให้บริการได้มีความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น จึงทำให้เราสามารถที่จะเข้าถึงการต่อทะเบียนรถและการต่อภาษีรถยนต์ผ่านทางระบบออนไลน์ได้โดยง่าย เพื่อเป็นการป้องกันการรวมกลุ่มของคนจำนวนมากเนื่องจากมีโรคระบาด covid 19 นั่นเอง
โดยการต่อทะเบียนรถยนต์มีขั้นตอนและการลงระบบผ่านทางออนไลน์ดังนี้
- คุณสามารถที่จะเข้าถึงระบบเว็บไซต์ ผ่านช่องทางนี้ https://eservice.dlt.go.th
- คุณสามารถลงทะเบียนเพื่อรับรหัสการเป็นสมาชิก จากการกรอกข้อมูลส่วนตัว
- เลือกเมนูยื่นชำระภาษีที่ช่องบริการชำระภาษีรายปี
- กรอกรายละเอียดรถยนต์ของคุณ เพื่อดำเนินการชำระภาษีรถยนต์
- สามารถชำระภาษีผ่านทางการหักบัญชีเงินฝาก โดยต้องมีสมุดบัญชีเงินฝาก และ ชำระเงินโดยบัตรเครดิต / บัตรเดบิต และ ชำระเงินโดยพิมพ์ใบแจ้งชำระภาษีรถแล้วนำไปชำระเงิน ณ เคาน์เตอร์ ตู้ ATM หรือ Application ของธนาคาร
- ด้วยขั้นตอนเหล่านี้จะดำเนินการผ่านระบบออนไลน์และทางกรมการขนส่งทางบกจะส่งใบเสร็จรับเงินตามที่อยู่ของเราในภายหลัง
อัตราค่าบริการการต่อภาษีของรถยนต์แต่ละประเภท
คุณรู้หรือไม่ว่ารถยนต์แต่ละประเภทก็มีอัตราการจ่ายค่าบริการต่อภาษีรถยนต์ที่แตกต่างการอีกด้วยตามประเภทของรถยนต์
โดยมีค่าต่อภาษีรถยนต์แต่ละประเภทดังนี้
- รถยนต์ที่มีจำนวนที่นั่งโดยสาร 7 คน อัตราค่าเบี้ยประกัน 600 บาท / ปี
- รถยนต์ที่มีจำนวนที่นั่งโดยสาร 7 ขึ้นไป โดยไม่เกิน 15 คน อัตราค่าเบี้ยประกัน 1,100 บาท / ปี
- รถยนต์ที่มีจำนวนที่นั่งโดยสาร 15 ขึ้นไป โดยไม่เกิน 20 คน อัตราค่าเบี้ยประกัน 2,050 บาท / ปี
- รถยนต์ที่มีจำนวนที่นั่งโดยสาร 20 ขึ้นไป โดยไม่เกิน 40 คน อัตราค่าเบี้ยประกัน 3,200 บาท / ปี
- รถยนต์ที่มีจำนวนที่นั่งโดยสารเกิน 40 ที่นั่ง อัตราค่าเบี้ยประกัน 3,740 บาท / ปี
- รถยนต์ไฟฟ้าอัตราค่าเบี้ยประกัน 600 บาท / ปี
การต่อทะเบียนรถและการต่อภาษีรถยนต์ช้าต้องเสียค่าปรับเท่าไหร่
แน่นอนว่าการต่ออายุทะเบียนรถยนต์ และการต่อภาษีรถยนต์นั้นย่อมต้องอยู่ในวันเวลาที่กำหนด และสำหรับใครที่มีการขาดการต่อทะเบียนรถและการต่อภาษีรถยนต์ที่ล่าช้าเกิน 1 ปีจะต้องมีค่าปรับตามมาอย่างแน่นอน
เพราะถ้าหากคุณขาดการต่อทะเบียนรถและการต่อภาษีรถยนต์นานเกิน 3 ปี ทะเบียนรถดังกล่าวก็จะถูกระงับการใช้งานโดยทันที
และเมื่อเราต้องการที่จะต่อภาษีและต่อทะเบียนรถยนต์หลังจากที่มีความล่าช้าโดยทางกรมขนส่งจะมีการคิดค่าอัตราค่าปรับอยู่ที่ 1 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือนของอัตราการจ่ายค่าดำเนินการต่อภาษีของคุณ
และถ้าหากคุณปล่อยให้มีความล่าช้านานไปก็อาจจะถูกปรับในจำนวนเงินที่สูงขึ้นตามจำนวนและระยะเวลาการขาดต่อภาษีของคุณนั่นเอง
ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียผลประโยชน์และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาแนะนำให้คุณยื่นต่อทะเบียนรถและการต่อภาษีรถยนต์ของคุณตามเวลาที่กำหนดจะดีที่สุด
ประเภทรถที่ไม่สามารถตรวจสภาพรถตามสถานตรวจรถเอกชนได้
ถึงแม้ว่ากันต่อภาษีรถยนต์ หรือการต่อทะเบียนรถยนต์ จะสามารถตรวจสภาพรถได้ในสถานให้บริการต่อทะเบียนรถยนต์เอกชนได้
แต่ก็มีประเภทของรถยนต์บางประเภทที่ไม่สามารถดำเนินการได้ในสถานตรวจรถยนต์เอกชน ขึ้นรถประเภทดังกล่าวนี้จะต้องมีการเข้าตรวจรถยนต์กับที่ทำการขนส่งโดยตรง
ซึ่งจะประกอบไปด้วยประเภทรถดังต่อไปนี้
- ประเภทรถยนต์ที่มีการตกแต่งเพิ่มเติม หรือมีการดัดแปลงสภาพเปลี่ยนไปจากที่ได้จดทะเบียนไว้
- รถที่ทำมาปรับเปลี่ยนสี หรือมีการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ และเปลี่ยนประเภทเชื้อเพลิง และสภาพภายนอกของรถที่เปลี่ยนไปจากเดิม
- เลขที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อมูลตัวเลขของรถ หรือประเภทรถที่ไม่สามารถระบุได้ในระบบขนส่ง
- ที่มีการแจ้งไม่ใช้งานชั่วคราว หรือรถที่มีการแจ้งไม่ใช้งานตลอดไป
- รถรุ่นเก่าที่มีทะเบียนรถเป็นแบบเก่า ตัวอย่างเช่น กท-00001, กทจ-0001
- รถที่มีปัญหาเกี่ยวกับการโจรกรรม หรือเป็นรถที่มีคดี แล้วนำกลับมาใช้ใหม่ภายหลัง
- รถที่มีการขาดต่อภาษีเกิน 1 ปี
สรุป
สำหรับข้อมูลเรื่องการต่อทะเบียน และการต่อภาษีรถยนต์อย่างละเอียด ซึ่งพอทุกท่านได้ทราบถึงขั้นตอนแล้ว จะพบได้ว่าสามารถทำได้ด้วยตนเองไม่ยากเลย เพียงทำตามขั้นตอนที่กำหนดไว้นั่นเอง หากสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของกรมการขนส่งทางบกได้เลยครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://www.dlt.go.th/th/ และ https://car.kapook.com/view251017.html
หลายคนยังสนใจบทความน่ารู้เพิ่มเติม