ปัญหาฝ้าขึ้นกระจกรถยนต์ ทำไมถึงเกิดขึ้น และ6 วิธีไล่ฝ้าที่ถูกต้อง
คุณเคยขับรถแล้วกระจกเกิดฝ้าจนมองไม่เห็นทางหรือไม่?
ปัญหา “ฝ้าขึ้นกระจกรถ” เป็นเรื่องกวนใจของผู้ใช้รถหลายคน โดยเฉพาะในช่วงฝนตกหรืออากาศเย็นจัด ฝ้าที่เกาะบนกระจกหน้าหรือกระจกหลังจะบดบังทัศนวิสัยในการขับขี่อย่างมาก และหากจัดการไม่ถูกวิธี อาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้
หลายคนยังสนใจ บทความน่ารู้เพิ่มเติม
บทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจถึงสาเหตุว่าทำไมกระจกรถถึงเป็นฝ้า ผลกระทบต่อความปลอดภัย พร้อมแนะนำ วิธีไล่ฝ้าในรถ อย่างถูกต้องทั้งกระจกหน้าและกระจกหลัง นอกจากนี้ยังอธิบายการทำงานของระบบไล่ฝ้า ปุ่มไล่ฝ้าต่าง ๆ ก่อนอื่นเรามาดูก่อนครับว่า ฝ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร
ฝ้าขึ้นกระจกรถคืออะไร? เกิดจากอะไร
ฝ้าที่กระจกรถยนต์ คือ การเกิดฝ้าขุ่นมัวหรือหยดน้ำเล็ก ๆ เกาะบนผิวกระจก ซึ่งเกิดจากความแตกต่างของอุณหภูมิและความชื้นระหว่างภายในห้องโดยสารกับภายนอกรถ หรือพูดอย่างง่ายๆคือ เมื่อใดที่ด้านหนึ่งมีอุณหภูมิสูงกว่าอีกด้าน ความชื้นในอากาศจะควบแน่นเป็นละอองน้ำบนผิวกระจกด้านที่เย็นกว่า มีอยู่ 2 กรณี ได้แก่
- ฝ้าที่เกิดด้านนอกกระจก: มักเกิดในกรณีที่อากาศภายในรถเย็นกว่าอากาศภายนอก (เช่น เปิดแอร์เย็นในขณะฝนตกหรืออากาศชื้น) ความชื้นและอากาศอุ่นภายนอกเจอกระจกที่เย็นจึงกลั่นตัวเป็นฝ้าคราบน้ำบนผิวกระจกด้านนอก
- ฝ้าที่เกิดด้านในกระจก: มักเกิดเมื่ออุณหภูมิภายในรถสูงกว่าอากาศภายนอก (เช่น อากาศภายนอกหนาวเย็น แต่ในรถมีความอุ่นหรือมีผู้โดยสารหลายคน) ไอน้ำอุ่นภายในจะไปเกาะตัวบนผิวกระจกด้านในที่เย็นกว่าจนเกิดเป็นฝ้า
นอกจากอุณหภูมิและความชื้นแล้ว ปัจจัยอื่น ๆ ก็ส่งผลให้กระจกรถเป็นฝ้าได้ เช่น กระจกที่มีสิ่งสกปรกหรือคราบมันเกาะอยู่จะทำให้ฝ้าเกาะง่ายขึ้น การใช้งานแอร์หรือฮีตเตอร์ที่ไม่เหมาะสม รวมถึงสภาพอากาศภายนอกที่เปลี่ยนแปลงฉับพลันก็มีส่วนทำให้เกิดฝ้าได้บ่อยขึ้นอีกด้วย แต่ในประเทศไทยเกิดขึ้นค่อนข้างน้อย เนื่องจากอากาศไม่ค่อยหนาวมาก แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้
ฝ้าที่บดบังทัศนวิสัยส่งผลต่อความปลอดภัยอย่างไร?
เมื่อกระจกมัวด้วยฝ้า การมองเห็นถนนและสภาพแวดล้อมภายนอกจะลดลงมาก ผู้ขับขี่ต้องเพ่งสายตาและเสี่ยงต่อการ มองไม่เห็นรถหรือคน ที่อยู่บนถนนในระยะกระชั้นชิด หากฝ้าไม่ถูกกำจัดอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรงได้ โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนหรือขณะขับรถด้วยความเร็วสูงที่ต้องอาศัยการมองเห็นที่ชัดเจนตลอดเวลา
ดังนั้นการรู้วิธีป้องกันและไล่ฝ้าอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ขับรถทุกคนควรทราบ
6 เทคนิควิธีไล่ฝ้าในรถยนต์ได้ผลจริง
เมื่อเผชิญกับกระจกเป็นฝ้าขณะขับรถ ผู้ขับขี่ควรแก้ไขอย่างถูกวิธีและรวดเร็ว ต่อไปนี้คือวิธีไล่ฝ้าในรถที่ได้ผลและใช้งานได้จริง วันนี้เรามาแนะนำ 6 เทคนิค มีอะไรกันบ้างเรามาดูกัน
1. ปรับอุณหภูมิแอร์ภายในรถให้สมดุลกับภายนอก
วิธีนี้ช่วยลดความแตกต่างของอุณหภูมิที่เป็นสาเหตุของฝ้าได้โดยตรง หลักการคือทำให้อุณหภูมิภายใน-ภายนอกใกล้เคียงกันที่สุด หากฝ้าขึ้นด้านนอกกระจก (ภายนอกรถอุ่นกว่าข้างใน) ให้ลดความเย็นแอร์ลงหรือปิดแอร์ชั่วคราว เพื่อให้อุณหภูมิภายในสูงขึ้นและไล่ฝ้าที่ด้านนอกกระจก
แต่หากฝ้าขึ้นด้านในกระจก (ภายในรถอุ่นกว่าข้างนอก) ให้เปิดแอร์หรือเร่งความเย็นขึ้น เพื่อลดอุณหภูมิและความชื้นภายในห้องโดยสารลง วิธีนี้จะช่วยให้ฝ้าจางลงหรือหายไปได้เร็วขึ้น
2. ปรับทิศทางช่องแอร์ไม่ให้เป่าโดนกระจกโดยตรง
หลายคนอาจไม่ทราบว่าการปล่อยลมแอร์เย็นเป่าใส่กระจกตลอดเวลาจะยิ่งทำให้กระจกเย็นจัดและเกิดฝ้าด้านนอกง่ายขึ้น
ดังนั้นควรปรับช่องแอร์ให้อากาศไม่พุ่งตรงกระจกหน้าหรือกระจกข้าง เพื่อลดการเกิดจุดเย็นเฉพาะที่บนกระจก ซึ่งเป็นจุดให้ความชื้นภายนอกมาเกาะเป็นฝ้า
3. ลดกระจกหน้าต่างลงเล็กน้อยเพื่อระบายอากาศ
การเปิดหน้าต่างลงสัก 1-2 นิ้ว (เฉพาะช่วงที่ไม่มีฝนสาด) จะช่วยให้อากาศภายนอกที่แห้งกว่าหรือเย็นกว่าเข้ามาผสมกับอากาศชื้นภายในรถ ช่วยปรับสมดุลความชื้นได้เร็ว
วิธีนี้เหมาะกับกรณีฝ้าที่เกิดด้านในกระจกเป็นหลัก โดยเฉพาะช่วงที่อากาศเย็นหรือหลังฝนหยุดใหม่ ๆ จะช่วยไล่ฝ้าในรถได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม หากเป็นช่วงที่ฝนตกหนักควรใช้วิธีอื่นแทน เพราะการลดกระจกอาจทำให้น้ำฝนสาดเข้ามาและสร้างความเสียหายได้
4. ใช้ที่ปัดน้ำฝนและน้ำฉีดกระจกในกรณีฝ้าเกาะด้านนอก
ถ้าฝ้าขึ้นที่ผิวกระจกด้านนอก (เช่น ตอนขับรถลุยฝนแล้วเปิดแอร์เย็น) วิธีที่ง่ายที่สุดคือการเปิดที่ปัดน้ำฝนให้ปัดคราบฝ้าออกไป การฉีดน้ำล้างกระจกควบคู่ไปด้วยจะยิ่งช่วยชะล้างทั้งฝ้าและสิ่งสกปรกบนกระจกออก ทำให้กระจกใสขึ้นทันที วิธีนี้ใช้ไม่ได้กับฝ้าด้านใน แต่มีประโยชน์มากสำหรับฝ้าที่เกิดด้านนอกกระจกหน้าและกระจกข้าง
5. กด ปุ่มไล่ฝ้า และเปิดระบบไล่ฝ้าของรถยนต์
รถยนต์เกือบทุกรุ่นมักมีระบบไล่ฝ้าติดมาด้วยทั้งสำหรับกระจกหน้าและกระจกหลัง ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ ผู้ขับขี่ควรใช้ฟังก์ชันเหล่านี้เมื่อฝ้าขึ้นมากจนรบกวนการมองเห็น
-
- ปุ่มไล่ฝ้ากระจกหน้า: มักเป็นสัญลักษณ์รูปกระจกหน้ารถพร้อมเส้นโค้งหรือคลื่นความร้อน เมื่อกดแล้ว ระบบปรับอากาศจะเปลี่ยนเป็นโหมด “Defrost” คือ พัดลมจะเป่าส่งลมไปที่กระจกหน้าโดยตรง และคอมเพรสเซอร์แอร์จะทำงานเพื่อดึงความชื้นออกจากอากาศ (แม้จะเปิดความร้อน ฮีตเตอร์ก็ยังทำงานร่วมกับแอร์ในโหมดนี้) อากาศแห้งที่เป่าออกมาจะช่วยซับความชื้นบนกระจกหน้า ทำให้ฝ้าที่เกาะอยู่ด้านในจางหายอย่างรวดเร็ว เคล็ดลับ: ควรปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมด้วย หากอากาศภายนอกเย็นมาก ควรปรับอุ่นเล็กน้อยจะช่วยให้กระจกอุ่นขึ้นและฝ้าหายเร็ว
- ปุ่มไล่ฝ้ากระจกหลัง: มีสัญลักษณ์รูปกระจกหลังและเส้นซิกแซกแนวนอน (แทนเส้นลวดความร้อน) เมื่อกดแล้ว กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านเส้นลวดโลหะบาง ๆ ที่ฝังอยู่ในกระจกหลัง ทำให้เส้นเหล่านั้นร้อนขึ้น กระจกหลังก็จะอุ่นขึ้นจนฝ้าที่เกาะอยู่ระเหยหรือแห้งไปในเวลาไม่กี่นาที ระบบนี้ใช้ได้ผลดีกับฝ้าที่เกาะด้านในกระจกหลัง และยังช่วยละลายน้ำค้างหรือน้ำแข็งบาง ๆ ในกรณีอากาศเย็นจัดได้ด้วย (แม้ในประเทศไทยจะไม่ค่อยมีน้ำแข็งเกาะกระจกก็ตาม) โดยทั่วไประบบไล่ฝ้ากระจกหลังจะตัดการทำงานเองหลังจากเปิดไม่กี่นาที เพื่อป้องกันกระจกร้อนเกินไปและประหยัดไฟแบตเตอรี่
6. เปิดโหมดรับอากาศจากภายนอก (Fresh Air)
หากรถของคุณตั้งระบบปรับอากาศไว้ที่หมุนเวียนอากาศภายใน (Recirculate) อย่างต่อเนื่อง อากาศชื้นจากลมหายใจผู้โดยสารจะสะสมในรถมากขึ้น ทำให้ฝ้าเกิดง่ายขึ้น การเปลี่ยนมาเปิดรับอากาศจากภายนอกเข้ามาช่วยจะให้อากาศใหม่ที่แห้งกว่าไหลเวียน และผลักดันความชื้นส่วนเกินออกไปนอกตัวรถ
วิธีนี้หลายคนยืนยันว่าได้ผลดีในการไล่ฝ้าอย่างรวดเร็ว แต่อาจแลกกับกลิ่นหรือฝุ่นภายนอกที่เล็ดลอดเข้ามา ดังนั้นหลังฝ้าหมดแล้วควรกลับไปโหมดหมุนเวียนภายในตามความเหมาะสม และหมั่นทำความสะอาดแผงกรองอากาศของรถเพื่อไม่ให้มีฝุ่นสะสม
เมื่อใช้วิธีการต่าง ๆ ข้างต้นร่วมกันอย่างเหมาะสม ปัญหาฝ้าที่กระจกรถก็จะคลี่คลายลง ทัศนวิสัยในการขับขี่จะกลับมาชัดเจน ทำให้คุณขับรถได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น แนะนำให้จดจำขั้นตอนเหล่านี้ไว้เสมอ โดยเฉพาะปุ่มไล่ฝ้าต่าง ๆ ในรถของคุณว่าทำงานอย่างไร และทดลองใช้ให้คุ้นเคย จะได้ไม่ลุกลี้ลุกลนเมื่อต้องใช้จริงขณะขับรถบนท้องถนน
แล้วคุณสงสัยไหมครับว่า ระบบไล่ฝ้ามันทำงานได้อย่างไร ทำไมฝ้าถึงหายไปได้ เรามาเจาะลึกระบบไล่ฝ้ากันทั้งบานหน้าและบานหนังกันครับ
ระบบไล่ฝ้ากระจกหน้ากระจกหลังทำงานอย่างไร?
หลายคนอาจสงสัยว่า ระบบไล่ฝ้า ที่ติดมากับรถนั้นมีหลักการทำงานอย่างไร แตกต่างจากวิธีไล่ฝ้าธรรมดาที่กล่าวข้างต้นหรือไม่ ในส่วนนี้เราจะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ
ระบบไล่ฝ้ากระจกหน้า (Front Defroster)
ระบบนี้โดยมากไม่ได้ใช้ลวดความร้อนเหมือนกระจกหลัง แต่จะอาศัยการปรับการทำงานของชุดปรับอากาศของรถให้เข้าสู่โหมดไล่ฝ้าโดยเฉพาะ เมื่อผู้ขับกดปุ่มไล่ฝ้ากระจกหน้า หรือหมุนสวิตช์ไปที่สัญลักษณ์ Defrost พัดลมแอร์จะถูกสั่งให้เป่าลมไปที่กระจกบังลมหน้ามากที่สุด พร้อมกันนั้นคอมเพรสเซอร์แอร์จะทำงานเพื่อดึงความชื้นออก และถ้ารถมีฮีตเตอร์ก็จะเปิดความร้อนเล็กน้อยผสมเข้าไปด้วย
ผลลัพธ์คือลมที่เป่าออกมาจะ แห้งและค่อนข้างอุ่น ทำให้สามารถซับไอน้ำบนกระจกและทำให้กระจกอุ่นขึ้นลดการเกิดฝ้าใหม่ เรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานระหว่างการใช้ความร้อนและการลดความชื้นในอากาศเข้าด้วยกัน บางรุ่นที่ทันสมัย ระบบนี้จะทำงานอัตโนมัติเมื่อเซ็นเซอร์ตรวจจับฝ้าบนกระจก แต่โดยทั่วไปผู้ขับต้องกดสวิตช์เอง
ระบบไล่ฝ้ากระจกหลัง (Rear Defogger)
กระจกหลังของรถยนต์แทบทุกรุ่นจะมีเส้นลวดละเอียดสีทองแดงพาดในแนวนอนเต็มบานกระจก นั่นคือ “เส้นไล่ฝ้า” ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวให้ความร้อนเมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน เส้นเหล่านี้จะติดอยู่บนผิวกระจกด้านในห้องโดยสาร เมื่อเรากดปุ่มไล่ฝ้ากระจกหลัง กระแสไฟจากแบตเตอรี่รถจะถูกส่งไปยังเส้นลวดเหล่านี้ ทำให้เกิดความร้อนขึ้นสม่ำเสมอตลอดแนวกระจก
ความร้อนที่เกิดจะช่วยให้อุณหภูมิผิวกระจกสูงขึ้นจนไม่มีหยดน้ำเกาะ ฝ้าที่มีอยู่ก็จะจางหายไปอย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่นาทีเราจะเห็นกระจกใสเป็นปกติ
ข้อเสียของระบบไล่ฝ้ากระจกหลัง
ข้อดีคือระบบนี้ใช้ง่าย แค่กดปุ่มเดียวก็จัดการฝ้าที่กระจกหลังได้เลย ข้อควรระวัง คือ ไม่ควรเปิดทิ้งไว้นานเกินความจำเป็น เพราะเส้นลวดร้อนตลอดเวลาจะทำให้แบตเตอรี่ใช้พลังงานมาก และอาจทำให้กระจกเสี่ยงแตกร้าวได้ในกรณีอุณหภูมิภายนอกเย็นจัด (แม้โอกาสเกิดจะน้อยมากก็ตาม) รถบางรุ่นจึงมีการติดตั้งตัวจับเวลาหรือเทอร์โมสวิตช์ ตัดการทำงานเองอัตโนมัติหลังผ่านไประยะหนึ่ง
สรุป
ระบบไล่ฝ้าในรถเป็นตัวช่วยสำคัญที่ออกแบบมาเพื่อจัดการฝ้าที่กระจกโดยเฉพาะ ผู้ขับขี่ควรหมั่นตรวจสอบว่าระบบเหล่านี้ยังทำงานดีอยู่หรือไม่ เช่น เส้นไล่ฝ้ากระจกหลังยังครบถ้วนไม่ขาดหลุด ปุ่มไล่ฝ้ากระจกหน้ากดแล้วมีลมออกมาและคอมเพรสเซอร์แอร์ทำงานเป็นปกติ หากพบว่าระบบใดเสีย ควรซ่อมแซมทันทีเพื่อให้พร้อมใช้งานเมื่อจำเป็น