เลือกฟิล์มรถ EV แบบไหนดี?
หากถามว่าอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เมื่อซื้อรถยนต์ EV เป็นของตัวเองแล้วคืออะไร? “ฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV” ก็คือคำตอบของคำถามดังกล่าว
อย่างที่รู้กันว่าในประเทศไทยนั้น เรื่องของแสงอาทิตย์นั้นแผดเผาไม่เป็นสองรองใคร ถ้านำรถยนต์คันใหม่ที่เป็นเพียงกระจกใสไปขับ รับรองได้เลยว่าคุณจะร้อนจนผิวไหม้อย่างแน่นอน
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัยว่าฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV นั้นมีความสำคัญอย่างไร? แตกต่างจากฟิล์มชนิดอื่นหรือไม่? มีแบบใดบ้างให้เลือก? วันนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับฟิล์มกรองแสงประเภทนี้ไปพร้อมๆ กัน
ฟิล์มรถธรรมดาต่างยังไงกับฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV
เริ่มต้นกันที่การไขข้อสงสัยกันก่อนเลยว่าฟิล์มรถธรรมดาต่างกับฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV อย่างไร
ต้องบอกก่อนเลยว่า จริงๆแล้วฟิล์มรถ EV ไม่ใช่ฟิล์มประเภทใหม่แต่อย่างไร แต่เป็นเพียงหลักการการตลาดเท่านั้น ที่จับฟิล์มประเภทที่ไม่สะท้อนสัญญาณ มาสร้าง Position ใหม่ ว่าเป็นฟิล์มสำหรับ EV โดยเฉพาะ ซึ่งถ้าจะให้พูดตรงๆแล้วก็คือ ฟิล์ม EV คือฟิล์มที่ไม่สะท้อนแสง สะท้อนสัญญาณแค่นั่นเอง
โดยปกติแล้วฟิล์มกรองแสงรถธรรมดาส่วนมากก็มีส่วนผสมของโลหะเป็นส่วนประกอบด้วย ดังนั้นเมื่อนำมาติดกับรถ EV ก็อาจทำให้ผู้ใช้งานไม่สบายใจและเกิดความกังวลว่าโลหะที่ผสมอยู่นั้นอาจส่งผลกับสัญญาณรถยนต์ไฟฟ้าของตัวเองได้
อย่างที่รู้กันว่ารถยนต์ EV นั้นเป็นรถที่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้า บางรุ่นมีการใช้ไฟฟ้าเป็นพลังงาน 100% ตัวรถมีการติดตั้งแบตเตอรี่และติดตั้งระบบสัญญาณต่างๆ เพื่อการขับเคลื่อน ดังนั้นฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV ที่ถูกผลิตขึ้นมาจึงไม่มีส่วนผสมโลหะเลย ดังนั้นเลยเป็นฟิล์มกรองแสงที่ตอบโจทย์รถ EV ที่สุดในตอนนี้นั่นเอง
เพราะฉะนั้นถ้าหากจะให้พูดถึงเรื่องความแตกต่าง เรียกได้ว่าฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV นั้นถูกผลิตมาเพื่อยานยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะก็ว่าได้ ต่างจากฟิล์มธรรมดาอย่างชัดเจนเพราะทุกขั้นตอนการผลิตใส่ใจในส่วนของการทำงานร่วมกันกับระบบไฟฟ้าของรถ EV
สังเกตได้ง่ายๆ เลยว่าฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV นั้นจะมีข้อดีเพิ่มเติมเข้ามาเกี่ยวกับการช่วยเรื่องสัญญาณดิจิทัล รวมถึงช่วยลดความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้เป็นอย่างดี มักช่วยให้ภายในห้องโดยสารที่มีโอกาสรับไอร้อนจากระบบไฟฟ้าต่างๆ เย็นขึ้นกว่าปกติ ถือว่าส่วนผสมและเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตฟิล์มชนิดนี้ต่างกับฟิล์มกรองแสงปกติโดยสิ้นเชิง
ราคาของฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV
เนื่องจากฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EVเป็นฟิล์มที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นนวัตกรรมที่เพิ่งได้รับการคิดค้นพัฒนาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หากเทียบกับฟิล์มกรองแสงรถธรรมดาก็จะแพงกว่าอยู่ที่ประมาณ 15-30% ด้วยกัน ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของรถยนต์ทั้งสิ้น ยิ่งขนาดใหญ่ก็จะยิ่งมีราคาที่สูงขึ้น แนะนำให้ทำการตรวจสอบทุกครั้งก่อนการเลือกติดตั้ง
ไม่ใช้ฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV ได้ไหม?
ถ้าคุณใช้รถยนต์ EV แต่ไม่ใช้ฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV ก็สามารถทำได้เช่นกัน
แต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าภายในฟิล์มกรองแสงธรรมดาจะมีส่วนผสมของโลหะอยู่ เมื่อนำมาติดกับรถยนต์ที่ใช้ระบบไฟฟ้า 100% โลหะที่เป็นส่วนประกอบก็อาจส่งผลทำให้สัญญาณไฟฟ้าต่างๆ ภายในรถยนต์หน่วงได้เช่นกัน แม้มีเปอร์เซ็นต์น้อยที่จะทำให้เกิดอาการสัญญาณหน่วง แต่เพราะในการผลิตฟิล์มกรองแสงธรรมดานั้นไม่ได้มีการคำนึงถึงในส่วนนี้ จึงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเมื่อเกิดปัญหา ดังนั้นถ้าหากคุณเริ่มใช้รถยนต์ EV เพื่อความปลอดภัยต่อการใช้งานและป้องกันปัญหาการหน่วงของสัญญาณอย่างไม่ทราบสาเหตุ การติดฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV ก็จะช่วยลดความกังวลในส่วนนี้ไปได้ทันที
ฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV มีแบบใดให้เลือกบ้าง
ว่ากันด้วยเรื่องของชนิดฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV ปัจจุบันก็มีค่ายฟิล์มรถยนต์หลายที่ด้วยกันที่พัฒนาฟิล์มมาเพื่อรถยนต์ EV โดยเฉพาะ
ตัวอย่างเช่น Lamina EV Boost หรือ Hi Kool Beyond Ceramic ฟิล์มดิจิทัลเพื่อรถยนต์ไฟฟ้าที่มีการใช้นวัตกรรมขั้นสูงในการผลิต ช่วยให้แผ่นฟิล์มมีแผ่นตาข่ายที่หนาเพิ่มขึ้นจนสามารถป้องกันความร้อนได้เป็นพิเศษ นอกจากจะสวยงามแล้วยังช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงานและเสริมเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคตช่วยเรื่องการบูสต์สัญญาณต่างๆ ให้เร็วและเสถียรกว่าเดิม
นอกจากนี้ก็ยังมีฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV อีกหนึ่งชนิดที่นิยมติดตั้ง นั่นก็คือฟิล์มกรองแสงเซรามิกนั่นเอง โดยปกติแล้วฟิล์มกรองแสงสำหรับติดรถยนต์ที่ผลิตจากเซรามิกก็เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของคนส่วนใหญ่อยู่แล้ว เนื่องจากเป็นชนิดฟิล์มที่กรองแสงได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ขึ้นชื่อว่าป้องกันความร้อนได้แบบดีเยี่ยมกว่าใคร เมื่อนำมาผลิตร่วมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งช่วยทำให้ฟิล์มเซรามิกไม่มีส่วนผสมของไอโลหะใดๆ ปะปนอยู่ พร้อมทั้งคิดค้นนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนยานยนต์ EV โดยเฉพาะ แม้จะทำให้มีราคาสูงขึ้นกว่าฟิล์มดิจิทัล แต่ก็ยังเป็นฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV ที่หลายคนเลือกใช้งานอยู่ดี
สำหรับใครที่กังวลเรื่องความสวยงามและความเข้มก็สบายใจได้เลย เพราะฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV มีหลากหลายสีให้เลือกใช้งานตามแต่รุ่นที่คุณต้องการ ในส่วนของความเข้มก็มีหลายระดับให้เลือกเช่นกัน บางแบรนด์อาจมีให้เลือก 3 ระดับ แต่บางแบรนด์ก็ผลิตความเข้มมาให้คุณเลือกกันถึง 6 ระดับเลยทีเดียว ครอบคลุมทุกความต้องการและลักษณะการใช้งานสุดๆ
ควรรู้ก่อนเลือกฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV
สิ่งที่คุณควรรู้ก่อนเลือกฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV นอกจากขนาดรถยนต์ไฟฟ้าและบริเวณที่คุณต้องการติดฟิล์มแล้ว เพื่อความสะดวกต่อการเลือกซื้อและการคำนวณค่าใช้จ่ายที่แท้จริงของฟิล์มกรองแสง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่ามาตรฐานที่สำคัญทั้ง 3 ชนิดก็เป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ เพื่อที่จะหาฟิล์มที่ตรงใจที่สุด เรามาดูค่าสำคัญเหล่านี้กันเลย
-
ค่า TSER
ค่า Total Solar Energy Rejection หรือตัวย่อ TSER คือค่าที่การป้องกันความร้อนจากแสงอาทิตย์ ภายในแสงอาทิตย์จะมีรังสี UV, แสงสว่างที่มองเห็นด้วยตาเปล่าอย่าง VL และเป็นแสงที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาและมีความร้อนจนร่างกายสัมผัสได้อย่างคลื่นอินฟราเรดปล่อยออกมาอยู่เสมอ การที่ค่า TSER ของฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV มากก็จะสามารถกันร้อนได้มากขึ้นนั่นเอง
-
ค่า VLT
ค่า Visible Light Transmission หรือตัวย่อ VLT คือค่าที่แสดงถึงปริมาณที่แสงและความสว่างจะทะลุผ่านมาได้ เป็นตัวช่วยให้คุณคาดคะเนความอ่อนเข้มของฟิล์มชนิดนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี
เพราะยิ่งเปอร์เซ็นต์น้อย แสงก็จะผ่านน้อย ทำให้ฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV มีสีเข้มนั่นเอง ส่วนใหญ่ก็จะเลือกค่า VLT ประมาณ 20% สำหรับกระจกประตู 4 บ้าน ส่วนกระจกหน้าและกระจกหลังที่ต้องใช้มองถนนก็จะติดฟิล์มที่ใสขึ้นโดยมีค่า VLT ประมาณ 35% เป็นต้น
-
ค่า VLR
ค่า Visible Light Rejection หรือตัวย่อ VLR คือค่าการสะท้อนแสง ส่วนนี้จะช่วยบ่งบอกว่าฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV ของคุณนั้นมีความด้านหรือความเงามากขนาดไหน
โดยยิ่งค่าน้อยก็จะมีความด้านมากกว่าค่าสูงๆ โดยเกณฑ์แล้วฟิล์มที่มีค่า VLR มากกว่า 35% จะไม่เหมาะกับการขับในช่วงกลางคืนนักเนื่องจากมีการสะท้อนแสงสูง
สรุป
มาถึงตรงนี้ก็คงคลายข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้งานฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV กันเรียบร้อยแล้ว
สำหรับใครที่ยังลังเลไม่รู้ว่าจะใช้ดีหรือไม่ บอกไว้ตรงนี้เลยว่าการติดฟิล์มกรองแสงสำหรับรถ EV จะคุ้มค่ากับการลงทุนอย่างแน่นอน เพราะความนิยมของรถ EV กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ส่งผลให้มีผู้ชำนาญในการติดฟิล์มบนรถยนต์ชนิดนี้มากขึ้นไปด้วย หมดห่วงเรื่องความเนี้ยบ อีกทั้งยังช่วยทำให้คุณเย็นสบายกว่าที่เคยเนื่องจากเป็นฟิล์มรถยนต์ที่รวบรวมเทคโนโลยีใหม่ๆ มาไว้ในที่เดียวนั่นเอง